เมนู

พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงฟัง ก็ยินดีปรีดาว่าพระผู้เป็นเจ้าอุปมานี้ สมควรกับปัญหาในกาล
บัดนี้
นับปฏิสนธิคหณปัญหา คำรบ 2 จบเท่านี้

ปัญญานิรุชฌนปัญหา ที่ 3


ราชา

สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์มีพระราชโองการตรัสถามอรรถปัญหา
ต่อไปอีกเล่าว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า ญาณบังเกิดในสันดานผู้ใด ผู้นั้น
หรือชื่อว่าปัญญาบังเกิด
ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ ญาณที่บังเกิดขึ้นนั้นแลเรียกว่าปัญญา
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการซักว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ญาณบังเกิดในสันดานผู้ใดผู้นั้นเรียกว่ามีปัญญา เมื่อปัญญาบังเกิดจะหลงบ้างหรือหามิได้
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร บางทีหลงก็มี
ที่ไม่หลงก็มี ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากรตรัสถามว่า ที่หลงนั้นอย่างไร
พระนาคเสนแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ที่มีปัญญาหลงนั้นคือ
เดินดงพงป่าหารู้จักทิศที่จะไปไม่ เหตุมิได้ฟังเขาเล่าบอกนามบัญญัติ ว่าถึงที่นั้นมีต้นไม้อันนั้น
เป็นสำคัญ เหตุนี้ผู้มีปัญญานั้นจึงหลงไป
พระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่หลงนั้นอย่างไร
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า ขอถวายพระพรได้แก่โยคาวจรอันปลงปัญญาเห็นพระอนิจจัง
และพระทุกขัง และพระอนัตตา นี่แหละปัญญาท่านไม่หลง
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงมีพระราชโองการถามว่า ที่ปัญญาไม่หลงนั้น โมโหในสันดานท่าน
ไปแอบอยู่ที่ไหน
พระนาคเสนถวายพระพรแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เมื่อปัญญา
บังเกิดแล้ว โมโหก็ดับอยู่ที่ปัญญานั้น